คำแนะนำของแพทย์
เพื่อการป้องกันไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของเท็กซ์เนคอย่างง่ายๆ คือ
ละสายตาจากจอ เปลี่ยนท่าจากการก้มหน้า ปล่อยให้ศีรษะกลับคืนสู่ท่าธรรมชาติในทุกๆ 15 นาที เงยหน้าขึ้น เหลียวไปรอบๆ
ถ้ายังจำเป็นต้องจ้องจออยู่ก็ยกมันให้ขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา เพื่อลดการแบกรับน้ำหนักของคอลงเป็นระยะๆ
ถ้าเป็นไปได้ก็ควรออกกำลังกาย
ในแบบที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ได้ผ่อนคลาย จะเป็นโยคะก็ได้
หรือจะเป็นกายบริหารแบบพิลาทีสที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้ร่างกายของเราอยู่ในท่าทางที่ถูกต้องก็ได้
ทำให้ได้ทุกวันจะป้องกันปัญหานี้ได้
Evan Williams ผู้ก่อตั้ง Blogger
และ Twitter เผยข้อแนะนำสำหรับการให้เด็กใช้อุปกรณ์อย่าง
iPhone, iPad หรือ Gadget อื่นๆ ดังนี้
เด็กที่อายุต่ำกว่า
10
ปีมีแนวโน้มที่จะเสพติดอุปกรณ์ไอทีมาก
ผู้ปกครองควรขีดเส้น และตั้งกฎจำกัดการใช้งาน
ไม่ควรให้เด็กใช้อุปกรณ์ Gadget ในช่วงวันปกติหลังเลิกเรียน
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ควรให้เด็กใช้ iPhone, iPad ได้ไม่เกิน 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมงต่อวัน
เด็กอายุ 10 – 14 ปีให้ใช้คอมพิวเตอร์หรือ Gadget
ได้ในวันปกติ แต่เฉพาะทำการบ้านเท่านั้น
แต่ก็มีพ่อแม่อีกหลายคนที่ใช้กฎที่ยืดหยุ่นกว่า เช่นห้ามเปิดจออุปกรณ์ทุกชนิดในห้องนอน
แต่ใช้ได้ไม่จำกัดในห้องนั่งเล่น ที่พ่อแม่เห็นลูกอยู่ตลอด
หรือจำกัดแค่บางแอพและห้ามใช้ Social Network เท่านั้น
การไม่สนใจกันบ้างเป็นสาเหตุของโรคหลายชนิดในสังคม
มาจากทัศนคติเฉยๆ เมื่อเห็นคนอื่นกำลังเดือดร้อนหรือมีความทุกข์ ไม่เคารพ (สิทธิ)
คนอื่น ไม่เห็นว่าคนอื่นกำลังอยู่ด้วย
ไม่สนใจความรู้สึกของคนกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
คนจีนหรือวัฒนธรรมไทยที่เคย “เคารพผู้อาวุโส และทะนุถนอมเด็ก” (เช่นบนรถโดยสารให้ที่นั่งแก่ผู้อาวุโส
แม่อุ้มลูก) ปัจจุบันหายากทุกที คนเราเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว สนใจแต่ตัวเอง เราจะแก้ไขสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร เราควรมองรอบๆ ตัว ใส่ใจ ให้ความรักเมตตาช่วยเหลือที่บุคคลรอบข้าง
แม้ทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ความสุขในสังคมขึ้นอยู่กับความใส่ใจ เคารพสิทธิของคนอื่น
เราพยายามสนใจทำให้ชีวิตของตนเองมีความสุข สะดวกสบาย ก็กำลังทำความลำบากใจให้คนอื่น
การเป็นคนดี ต้องใจดี เข้าใจและสนใจคนที่กำลังลำบาก ต้องการความช่วยเหลือ