วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เครื่องมือในการเกิดสังคมก้มหน้า

                                                                         1.สมาทร์โฟน







                                                                         2.แท๊ปเล็ต





3.ไอพอต(อุปกรณ์ฟังเพลง)




ขอบคุณ : http://www.acmobileshop.net/



วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ภาพที่แสดงถึงสังคมก้มหน้า


การเล่นมือถือขณะรับประทานอาหาร





การเล่นมือถือขณะนั่งรถไฟฟ้า






การเล่นมือถือขณะรอบ้างสิ่งบางอย่าง





การเล่นมือถือขณะอยู่ในร้านกาแฟ


ขอบคุณ :  http://www.posttoday.com/digital/288104

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สังคมก้มหน้าคืออะไร

สังคมก้มหน้าคืออะไร


ศัพท์บัญญัติใหม่ ในโลกออนไลน์ชื่อ “สังคมก้มหน้า


             เพราะปัจจุบันนี้ ยุคที่คนเรามีสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตกันอย่างน้อยคนละ 1 เครื่อง หรืออาจมากกว่า 1 เครื่อง ทำให้ คนเราไม่ค่อยใส่ใจคนรอบข้าง หรือแม้แต่ใจลอยเพราะว่าถูกสิ่งเร้าจากเนื้อหาในจอสมาร์ทโฟน หรือว่าแท็บเล็ต จนลืมรอบข้าง
 
              ที่น่ากลัวคือ แม้แต่เวลาข้ามถนนหรืออยู่กลางถนน ก็ยังจ้องมองไปที่จอภาพ มากกว่าที่จะระมัดระวังตัวจากภยันตรายรอบข้าง บางทีได้รับสัญญาณก็ไม่รับรู้ เพราะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ปฏิสัมพันธ์ที่อยู่บนโลกไซเบอร์ ไม่ใช่ปฏิสัมพันธ์กับโลกแห่งความเป็นจริง หรือไม่ได้อยู่กับสติ เป็นปราการด่านสำคัญในการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวสักเท่าไหร่แล้ว
่สังคมเราเป็น “สังคมก้มหน้าใจลอย จิตไปจดจ่ออยู่กับเนื้อหา คอนเทนต์บนหน้าจอสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต จนไม่เหลือปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก ทั้ง ๆ ที่บางทีอยู่ในภาวะที่จำเป็นต้องระมัดระวังตัว เช่น การข้ามถนน หรือขับรถอยู่บนทางด่วน นั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนจิตใจแบบใด ความรู้ตัวทั่วพร้อมยังอยู่ครบดีหรือไม่ หรือว่าจิตใจเราลอยไปอยู่กับสิ่งอื่นและไม่สามารถที่จะควบคุมด้วยตนเองได้อีกต่อไปแล้ว

          แน่นอนว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ มีคุณูปการต่อการผลักดันโลกไปข้างหน้า แต่การใช้และปล่อยให้ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ แอพพลิเคชั่น ต่าง ๆ มามีอิทธิพลเหนือ ฮิวแมนแวร์หรือมนุษย์ผู้มีศักยภาพในการควบคุมจิตใจตนและใช้จิตใจอันหนักแน่นและมีทิศทางของตนในการใช้ประโยชน์สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมา ที่สุดแล้วเราก็กลายเป็นเพียงทาสของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เพื่อนมนุษย์เราผลิตขึ้นมา แทนที่เราจะเป็นนาย เราจะกลายเป็นบ่าวไปสมบูรณ์แบบ

heme-font:major-bidi;mso-hansi-theme-font:major-bidi;mso-bidi-theme-font: major-bidi'>



ขอบคุณ : http://www.pr.chula.ac.th/index.php/15-article/78-2014-05-19-01-32-52

ผลกระทบ

ผลกระทบ

 1)  มีผลทำให้เราใจร้อน คาดหวังผลเร็วขึ้น อารมณ์หงุดหงิดง่าย
              แต่เดิมในยุคที่เราสื่อสารด้วยการ ส่งจดหมายติดแสตมป์ต้องใช้เวลาเป็นหลักวัน กว่าที่จะสื่อสารกันได้หากว่าเป็นข้ามทวีปด้วยแล้วเป็นหลักสัปดาห์ทีเดียว
               แต่ปัจจุบันส่งอีเมลข้ามทวีปไปแล้วหากมองนาฬิกาแล้วคิดว่า อีกฝ่ายน่าจะต้องตื่นแล้ว และไม่ตอบมาในทันที อีกฝ่ายก็รู้สึกขุ่นมัวแล้วว่าอีกฝ่ายหายไปไหน ทำไมไม่ตอบ เพราะมีสมมุติฐานเบื้องต้นว่า โลกหมุนเร็วแล้วทุกคนต้องเร็วเท่ากัน พอเกิดความคาดหวังแล้วไม่สมหวัง ก็เกิดอารมณ์ขุ่นมัว และบ่อย ๆ ครั้งก็ไม่รู้ว่า นั่นคือการเกิดโทสะขึ้นมาแล้ว เก็บความคับข้องใจกลายเป็นอารมณ์ต่อไปอีก

อารมณ์หงุดหงิด


          2) ขาดสติ ขาดความรู้ตัวทั่วพร้อม จนอาจจะก่อเกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น
              นอกเหนือไปจากนี้ การที่สังคมเราเป็น สังคมก้มหน้าใจลอย จิตไปจดจ่ออยู่กับเนื้อหา คอนเทนต์บนหน้าจอสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต จนไม่เหลือปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก ทั้ง ๆ ที่บางทีอยู่ในภาวะที่จำเป็นต้องระมัดระวังตัว เช่น การข้ามถนน หรือขับรถอยู่บนทางด่วน นั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนจิตใจแบบใด ความรู้ตัวทั่วพร้อมยังอยู่ครบดีหรือไม่ หรือว่าจิตใจเราลอยไปอยู่กับสิ่งอื่นและไม่สามารถที่จะควบคุมด้วยตนเองได้อีกต่อไปแล้ว




          แน่นอนว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ มีคุณูปการต่อการผลักดันโลกไปข้างหน้า แต่การใช้และปล่อยให้ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ แอพพลิเคชั่น ต่าง ๆ มามีอิทธิพลเหนือ ฮิวแมนแวร์หรือมนุษย์ผู้มีศักยภาพในการควบคุมจิตใจตนและใช้จิตใจอันหนักแน่นและมีทิศทางของตนในการใช้ประโยชน์สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมา ที่สุดแล้วเราก็กลายเป็นเพียงทาสของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เพื่อนมนุษย์เราผลิตขึ้นมา แทนที่เราจะเป็นนาย เราจะกลายเป็นบ่าวไปสมบูรณ์แบบ
heme-font:major-bidi;mso-hansi-theme-font:major-bidi;mso-bidi-theme-font: major-bidi'>



ขอบคุณ : http://www.pr.chula.ac.th/index.php/15-article/78-2014-05-19-01-32-52

วิธีแก้ไข

วิธีแก้ไข

การพูดคุยกับคนสนิท


การปรึกษากับเพื่อนร่วมงาน

การวิเคราะห์ของบริษัท Quantified Impressions ระบุว่าคนเรามักสบตากัน 30 - 60 % ของเวลาที่ใช้ในการสนทนา แต่ข้อแนะนำคือ ควรเพิ่มการสบตาให้มากขึ้นเป็น 60 - 70 % เพื่อสร้างความรู้สึกเชื่อมต่อด้านอารมณ์หรืออารมณ์ร่วมให้เกิดขึ้น แต่ปัญหาหนึ่งของเรื่องนี้คือการมีอุปกรณ์มือถือใช้งานและการทำงานหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะในคนกลุ่มหนุ่มสาวในสังคมก้มหน้า ซึ่งทำให้ต้องใช้สายตาจับที่หน้าจอแทนที่จะสบตากับคู่สนทนา
         อย่างไรก็ตามนักจิตวิทยาเตือนว่าการก้มหน้าลงตรวจอุปกรณ์มือถืออยู่เป็นประจำอาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า บุคคลนั้นไม่พอใจกับชีวิตหรือความสัมพันธ์ที่ตนมีอยู่ กับผู้อื่น ทำให้ต้องคอยตรวจสอบความเคลื่อนไหวในเครือข่ายของตนอยู่เป็นประจำเพื่อดูว่าตนได้พลาดโอกาสทางสังคมเรื่องใดไปบ้าง

          ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า การสบตากับผู้อื่นระหว่างการสนทนาช่วยแสดงถึงความมั่นใจและการให้ความเคารพต่อผู้อื่น และการสบตาจะให้ผลดีที่สุดหากใช้เวลานานราว 7-10 วินาทีกับคู่สนทนาแบบตัวต่อตัว และ 3-5 วินาทีสำหรับการสนทนาแบบเป็นกลุ่ม


พฤติกรรมสังคมก้มหน้า

พฤติกรรมสังคมก้มหน้า


                ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนมาไหนกับครอบครัว เพื่อน พี่น้อง หรือว่ามองไปที่คนรอบข้างมักจะเห็นแต่ละคนต่างนั่งก้มหน้าอยู่กับหน้าจออุปกรณ์สื่อสารของตัวเองกันแทบทั้งสิ้น จึงทำให้เกิดศัพท์บัญญัติใหม่ในโลกออนไลน์ชื่อ สังคมก้มหน้า” (Indifferent Society)  ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มีผลกระทบอยู่ไม่น้อย หากเรายังปล่อยปะละเลยให้สังคมเป็นเช่นนี้ต่อไป
จากพฤติกรรมทางสังคมของผู้คนในยุค Social Network ที่ผู้คนต่างก้มหน้าอยู่กับอุปกรณ์ พกพาส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ ไอแพด ไอโฟน แท็บเล็ต ต่างๆ ซึ่งเราจะพบเห็นอยู่ได้ทั่วไปว่าผู้คนเหล่านี้ต่างง่วนอยู่กับการ แชทผ่านไลน์กับเพื่อนหรือกลุ่มเพื่อน การโพสต์ภาพอาหารที่กำลังจะทาน หรือทานเสร็จแล้วผ่านหน้าจอเฟสบุ๊ค หรือการกด Like กับเพื่อนที่โพสต์กิจกรรมในกลุ่ม ทำให้สามีภรรยาไม่ได้สนใจพูดคุยกัน
ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดี กรมสุขภาพจิต ได้ให้ความรู้ว่าพฤติกรรมสังคมก้มหน้า มีทั้งผลดีและผลเสีย กล่าวคือ
เรื่องการใช้เวลากับสิ่งเหล่านี้ แม้สิ่งที่เราทำจะเป็นประโยชน์ ถ้าก้มหน้าได้อย่างเดียวแต่เงยหน้าขึ้นมาไม่ได้เลย ในแง่การใช้เวลากับมันมากเกินไปจนเริ่มรบกวนสิ่งที่เรียกว่า การทำหน้าที่ปกติ เช่น ถึงเวลาต้องรับประทานอาหาร แต่รู้สึกว่าไม่กินก็ได้ หรือถึงเวลาต้องนอนก็ไม่นอน ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ได้ อีกอย่างต้องยอมรับว่าการสื่อสารผ่านอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ทดแทนการพูดคุยแบบเผชิญหน้ากัน ไม่ใช่แปลว่าเรามีเพื่อนมากมายอยู่ใน Facebook หรือใน Line แต่ในความเป็นจริงหากเราไปไหนแล้วไม่มีคนคุยด้วยหรือคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ไม่มีเพื่อนในสังคมจริง ไม่ได้แปลว่าคุณมีเพื่อน เพราะว่าทักษะทางสังคมที่เรียกว่า “Face to face” การมองหน้าหรือสบตากัน การมีจังหวะในการพูดคุย บางคนเสียไปเลย เช่น เวลาจะพูดกับคนอื่นรู้สึกประหม่า หรือว่าไม่เข้าหาคนอื่น หรือวางตัวไม่ถูก หรือว่าภาษาเป็นปัญหา เพราะภาษาที่ใช้ในโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่ค่อยปกติ  ยิ่งถึงเวลาเป็นเรื่องของทางการมักเริ่มมีปัญหาว่าจะพูดภาษาที่เป็นทางการอย่างไร

เท็กซ์เนค เป็นคำที่ นายแพทย์ดีน ฟิชแมน แพทย์กายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้านบำบัดอาการของกระดูกสันหลังชาวอเมริกัน คิดขึ้นเพื่อใช้เรียกกลุ่มอาการของโรคที่เกิดขึ้นจากการก้มหน้า บ่อยๆ ซ้ำๆ และนานเกินปกตินี้ อาการที่เกิดขึ้นมีตั้งแต่ การปวดกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ กล้ามเนื้อคอ ปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดทุกวัน หนักเข้าก็อาจพาลไปถึงเกิดการอักเสบของข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนบน ซึ่งถือว่าสาหัสเลยทีเดียว แต่ที่น่ากังวลคือ การก้มหน้าในลักษณะนี้บ่อยๆ นานๆ จะส่งผลต่อบุคลิกท่าทาง และการเติบโตของร่างกายในเด็กและวัยรุ่นให้ออกมาบิดเบี้ยวโค้งงอจนต้องมาหาทางแก้กันยุ่งยากในภายหลัง

ขอบคุณ :  http://mcpswis.mcp.ac.th/html_edu/cgi-bin/mcp/main_php/print_informed.php?id_count_inform=18718

คำแนะนำของแพทย์

คำแนะนำของแพทย์

เพื่อการป้องกันไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของเท็กซ์เนคอย่างง่ายๆ คือ ละสายตาจากจอ เปลี่ยนท่าจากการก้มหน้า ปล่อยให้ศีรษะกลับคืนสู่ท่าธรรมชาติในทุกๆ 15 นาที เงยหน้าขึ้น เหลียวไปรอบๆ ถ้ายังจำเป็นต้องจ้องจออยู่ก็ยกมันให้ขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา เพื่อลดการแบกรับน้ำหนักของคอลงเป็นระยะๆ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรออกกำลังกาย ในแบบที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ได้ผ่อนคลาย จะเป็นโยคะก็ได้ หรือจะเป็นกายบริหารแบบพิลาทีสที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้ร่างกายของเราอยู่ในท่าทางที่ถูกต้องก็ได้ ทำให้ได้ทุกวันจะป้องกันปัญหานี้ได้
Evan Williams ผู้ก่อตั้ง Blogger และ Twitter เผยข้อแนะนำสำหรับการให้เด็กใช้อุปกรณ์อย่าง iPhone, iPad หรือ Gadget อื่นๆ ดังนี้
                เด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปีมีแนวโน้มที่จะเสพติดอุปกรณ์ไอทีมาก
ผู้ปกครองควรขีดเส้น และตั้งกฎจำกัดการใช้งาน
ไม่ควรให้เด็กใช้อุปกรณ์ Gadget ในช่วงวันปกติหลังเลิกเรียน
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ควรให้เด็กใช้ iPhone, iPad ได้ไม่เกิน 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมงต่อวัน
เด็กอายุ 10 – 14 ปีให้ใช้คอมพิวเตอร์หรือ Gadget ได้ในวันปกติ แต่เฉพาะทำการบ้านเท่านั้น
แต่ก็มีพ่อแม่อีกหลายคนที่ใช้กฎที่ยืดหยุ่นกว่า เช่นห้ามเปิดจออุปกรณ์ทุกชนิดในห้องนอน แต่ใช้ได้ไม่จำกัดในห้องนั่งเล่น ที่พ่อแม่เห็นลูกอยู่ตลอด หรือจำกัดแค่บางแอพและห้ามใช้ Social Network เท่านั้น
การไม่สนใจกันบ้างเป็นสาเหตุของโรคหลายชนิดในสังคม มาจากทัศนคติเฉยๆ เมื่อเห็นคนอื่นกำลังเดือดร้อนหรือมีความทุกข์ ไม่เคารพ (สิทธิ) คนอื่น ไม่เห็นว่าคนอื่นกำลังอยู่ด้วย ไม่สนใจความรู้สึกของคนกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
คนจีนหรือวัฒนธรรมไทยที่เคย เคารพผู้อาวุโส และทะนุถนอมเด็ก” (เช่นบนรถโดยสารให้ที่นั่งแก่ผู้อาวุโส แม่อุ้มลูก) ปัจจุบันหายากทุกที คนเราเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว สนใจแต่ตัวเอง เราจะแก้ไขสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร เราควรมองรอบๆ ตัว ใส่ใจ ให้ความรักเมตตาช่วยเหลือที่บุคคลรอบข้าง แม้ทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ความสุขในสังคมขึ้นอยู่กับความใส่ใจ เคารพสิทธิของคนอื่น เราพยายามสนใจทำให้ชีวิตของตนเองมีความสุข สะดวกสบาย ก็กำลังทำความลำบากใจให้คนอื่น การเป็นคนดี ต้องใจดี เข้าใจและสนใจคนที่กำลังลำบาก ต้องการความช่วยเหลือ